ครั้งหนึ่ง “หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต” ได้เดินทางไปปักกลดภาวนาที่ราวป่าแห่งหนึ่งบริเวณลานหินใต้ต้นไม้
คืนแรกก็ปกติ ไม่มีอะไร ตกคืนที่สอง ขณะที่กำลังเดินจงกรมอยู่
ท่านสังเกตเห็นว่าบรรยากาศมันเงียบผิดปกติจึงเริ่มระวังตัว
ทันใดนั้นท่านก็ต้องขนลุกไปทั้งตัวเมื่อได้ยินเสียงดังแกรก ๆ ?
มันคืองูใหญ่ตัวเท่าต้นขาที่กำลังเลื้อยเข้าไปในรูหินซึ่งอยู่ใกล้ ๆ
กับที่ที่ท่านพักอยู่นั่นเอง ท่านนึกในใจว่า
“เจอเจ้าถิ่นเข้าให้แล้วไหมล่ะ! หรือว่าเราปักกลดขวางทางนี่น่ะ?
แต่ตัดสินใจดั้นด้นมาถึงนี่แล้วต้องลองกันสักตั้งให้รู้ดำรู้แดงไปเลย!”
พอตกคืนที่สาม หลวงปู่ผางกำลังเดินจงกรมอยู่ก็ได้ยินเสียงผิดปกติอีกครั้ง และคิดว่าคงจะเป็นเสียงของงูตัวเมื่อวานนี้แน่ ๆ
เสียงสิ่งมีชีวิตลากเลื้อยบนใบไม้ค่อย ๆ ใกล้เข้ามา
หลวงปู่ผางเริ่มรู้ตัวว่าอะไรจะเกิดขึ้นจึงได้นั่งลงข้างกลด
สงบนิ่งจนระงับความตื่นเต้นไว้ได้ แล้วกำหนดจิตถามตัวเองว่า
?กลัวงูยักษ์ตัวนี้หรือไม่?? ใจก็ตอบตัวเองว่า ?ไม่กลัว?
จึงได้กำหนดจิตแผ่เมตตาให้มัน
และแล้วเมื่องูใหญ่เลื้อยมาอยู่ตรงหน้าหลวงปู่ผาง พร้อมทั้งอ้าปากกว้าง
แลบลิ้นแผล็บ ๆ ทำท่าเหมือนจะกินท่านเป็นอาหารอยู่นั้น ท่านจึงพูดกับมันว่า
“ถ้าจะกินเราต้องกินให้หมดทั้งบริขาร กลด บาตร จีวร ต้องกินเข้าไปให้หมด
อย่าให้เหลือ ? เรายอมตายแล้ว สละหมดแล้วทุกอย่างแม้แต่ชีวิต”
วินาทีนั้น
จิตของหลวงปู่ผางตั้งมั่นหนักแน่นเหมือนหินและมีสติอยู่กับตัวตลอดเวลา
ท่านแนบมือเข้ากับลำตัว ชิดเท้าเข้าหากัน นอนเหยียดยาวเพื่อรอให้งูกิน
งูตัวนั้นมันคงจะหิวจัดเพราะอดอาหารมานานหลายวัน
และหาสัตว์อื่นกินเป็นอาหารไม่ได้แล้ว มันจึงมาหากินคน
ว่าแล้วมันก็เริ่มขยอกกลืนท่านเข้าไปในปากของมันเรื่อย ๆ
มันกลืนกินตัวท่านเข้าไปถึงไหนก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงนั่น
ขณะที่หลวงปู่ผางอยู่ในปากของงูใหญ่นั้น
ท่านก็กำหนดภาวนาปล่อยวางความตายจนกระทั่งหมดสิ้นความกลัวตาย
เมื่อจิตหมดความอาลัยเสียดายในชีวิตได้แล้ว จิตก็รวมวูบเข้าเป็นสมาธิ
โดยมีสติตามรู้ และเป็นอย่างนั้นอยู่นาน
เมื่อจิตถอนออกมาแล้วก็ไม่มีความโกรธหรือผูกอาฆาตพยาบาทต่องูเลย
มีแต่ความองอาจกล้าหาญ ไม่สะทกสะท้าน
พร้อมทั้งกำหนดจิตแผ่เมตตาและกำหนดพิจารณาดูมันอยู่อย่างนั้น
งูใหญ่ขยอกหลวงปู่ผางเข้าไปในท้องอย่างช้า ๆ จนถึงลำคอของท่าน ? แต่แล้วมันก็หยุดอยู่แค่นั้น ไม่ขยอกต่อ!
หลวงปู่ผางจึงพูดกับมันว่า
?ทำไมไม่กินให้หมดทั้งตัวล่ะ! ถ้ากินไม่หมด ข้าจะเอาศอกกระทุ้งนะ!?
ว่าแล้วหลวงปู่ผางก็เอาศอกกระทุ้งมันเบา ๆ
จากนั้นมันก็เริ่มคายลำตัวของท่านออกมาจากปากของมัน
เมื่อท่านหลุดจากปากของมันแล้ว มันก็เลื้อยถอยออกห่างไปนิดหนึ่ง
แล้วชูคอผงกหัวขึ้นลงอยู่สามครั้ง
เสมือนเป็นการกราบขอขมาลาโทษและขออโหสิกรรมที่ได้ล่วงเกินท่าน
แล้วมันก็เลื้อยหายไป!
นับจากนั้นมา หลวงปู่ผางก็ไม่เคยเห็นงูตัวนั้นมาปรากฏให้เห็นอีกเลย
หลวงปู่ผางเล่าว่า มันเริ่มกินท่านตั้งแต่สามทุ่มจนกระทั่งถึงตีห้า จึงได้คายท่านออกจากปาก
ปัจจุบัน?ลูกศิษย์ของท่านได้ปั้นรูปงูใหญ่ไว้เป็นอนุสรณ์ ณ ที่แห่งนี้
ขอขอบคุณที่มาจาก : panyayan.tnews.co.th และ kaijeaw