จากเพื่อนร่วมงานกลายเป็นมีใจ
เราได้รู้จักกับผู้ชายคนนึงในที่ทำงาน ตอนแรกก็มีเรื่องให้คุยกันตามหน้าที่ พอนานวันเข้าก็เริ่มมาคุยกันในโลกโซเชียล เขาชอบส่งสติ๊กเกอร์ไลน์มาทักแบบกวนๆ จนวันนึงเราก็เฮ้ยมันมีบางอย่างที่รู้สึกว่าใช่จากการคุยไลน์กับเขา แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดไรมาก เพราะก็ยังคุยกับคนอื่นอยู่ด้วย
หลังจากนั้นไม่นาน เหมือนเราเริ่มจะสนิทกันมากขึ้น จากการเดินทางไปต่างจังหวัดกับออฟฟิศด้วยกัน พอกลับมาเราก็นัดไปเที่ยวด้วยกันครั้งนึง ตอนนั้นก็ยังไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขามากมายเลยจริงๆ และเขาก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะจีบเราด้วย อารมณ์เหมือนผู้ชายติสท์ๆ คนนึง ที่ชอบเก็บงำความรู้สึก ชอบแหย่ ชอบกวน และเราเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเริ่มชอบเขาตอนไหน ทั้งๆ ที่การคุยกันของเราก็ไม่ได้เป็นแนวจีบกันเลย มันเป็นแบบกวนตีน ฮาๆ รั่วๆ ซะมากกว่า
จนกระทั่งวันนึงที่เราไปเห็นว่าเขาจะลาออกจากที่นี่ ไปทำงานที่อื่นซึ่งอยู่คนละจังหวัด มันเป็นความรู้สึกที่ยังจำได้ดีว่าเป็นยังไง มันตกใจจี๊ดมากแบบเฮ้ย ทำไมถึงไม่บอกเราซักคำก่อนหน้านี้นะ ตอนนั้นแหละมั้งที่เราพอจะรู้แล้วว่าเรา ?ชอบ? ผู้ชายคนนี้เข้าแล้ว ?จริงๆ?พอรุ่งขึ้นเราไปออฟฟิศก็รู้สึกแปลกๆ ว่าจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้วนะ และนับตั้งแต่นั้นก็เหมือนกับว่าความคิดถึงของเราก็เริ่มออกเดินทางไปหาเขา เพราะหลังจากนั้นเราก็เริ่มคุยกันมากขึ้น คุยกันทุกวันผ่านโซเชียล แต่เป็นบทสนทนาแบบไร้แก่น ไม่มีสาระ ไม่มีใจความสำคัญ เป็นแค่การถามสารทุกข์สุกดิบ (แบบกวนๆ) แลกเปลี่ยนเพลง แลกเปลี่ยนความเกรียนของกันและกัน และเราก็มักจะมีคำถามให้เขาว่า ?เมื่อไหร่จะมา กทม.? แต่คำตอบที่ได้ก็มักจะกวนตีนกลับมาทุกครั้ง
ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง
จนในที่สุด เราก็ได้เจอกันหลังจากผ่านมา 1 ปีเต็มๆ น่าแปลกที่เราไม่รู้สึกว่าได้เจอคนที่ไม่ได้เจอกันมานาน ความรู้สึกตอนนั้นบอกไม่ถูกว่าดีใจหรือพอใจแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ คือความรู้สึกในใจลึกๆ บอกเราว่า เราจะต้องได้เจอกันอีก และเราก็ได้เจอกันอีกจริงๆ แต่การเจอกันครั้งนี้ กลับกลายเป็นการเจอกันเพื่อที่จะไม่ได้เจอกันอีกตลอดไป โดยที่ตัวเราเองก็หาได้รู้เหตุผลไม่
โมเมนต์ที่เขาเปลี่ยนไป
เราได้ไปเกาะล้านด้วยกัน อย่าถามนะว่าใครเป็นคนชวนใคร รู้แต่ว่าเราดีใจมากที่จะได้ไปเที่ยวกับเขา ตอนแรกเขาก็ถามนะว่ากล้าไปกับเขาเหรอ แฟนกันก็ไม่ใช่ เราก็แค่ตอบกลับไปว่า อย่าคิดมากดิ คิดว่าไปเที่ยวกะเพื่อนนะ เปลี่ยนรสชาติให้ชีวิตบ้าง ไม่เห็นต้องมาเจาะจงเลยว่าต้องเป็นไรกันถึงจะไปได้ และเราก็ย้ำด้วยว่าจะไม่นอนเตียงเดียวกับเขาเด็ดขาด วันแรกที่ไปถึงเราสนุกกันมาก ขับมอไซค์ตระเวนเที่ยวรอบเกาะ ปิดท้ายด้วยการไปตกหมึกกลางทะเล
และในคืนนั้น ? คงคิดล่ะสิว่าเราจะมีอะไรกัน เปล่าเลย เรานอนเตียงเดียวกัน เพราะตรงโซฟาที่เขานอนแอร์ตกใส่จนเขาเป็นหวัด เราก็เลยใจดีให้มานอนบนเตียง แต่เอาหมอนข้างมากั้นเสร็จสรรพ ดูเป็นนางเอกละครเนอะ แต่ทำไงได้ เราไม่ได้อยากจะมีอะไรกับเขาจริงๆ นี่ แต่สำหรับเขา เราไม่รู้เลย ไม่รู้เลย จนกระทั่งเดี๋ยวนี้
เพราะเช้าวันรุ่งขึ้น เขามีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างกับคนละคน จากที่เราตกลงกันว่าจะนอน 2 คืน และเขาก็เป็นฝ่ายจ่ายตังค์ไปแล้ว เขาบอกเราว่า ?จะกลับ? ตอนนั้นเรางงมาก คืออะไร หมายความว่าไง เมื่อวานยังดีๆ กันอยู่เลย ทำไมวันนี้กลายเป็นแบบนี้ เราถามเหตุผล เขาบอกแค่ว่า ?ก็มันไม่สนุกแล้ว? สีหน้า แววตา และคำพูดของเขาเปลี่ยนไป เย็นชา ไร้ความรู้สึก แล้วเที่ยงวันนั้นเขาก็ขึ้นเรือเฟอรี่จากไป ทิ้งเราไว้ให้อยู่บนเกาะคนเดียว ทิ้งผู้หญิงคนนึงให้อยู่กับคำถามที่ไม่มีวันเจอคำตอบ และหลังจากนั้นเขาก็บล็อกช่องทางการติดต่อสื่อสารทางโซเชียลทั้งหมดของเรา
มันเหมือนกับการที่เด็กคนหนึ่งมีวันดีๆ ที่มีความสุขกับการได้เล่นในสวนสนุก แต่ยังไม่ทันสมใจอยาก สวนสนุกนั้นก็กลับกลายเป็นป่าช้า เครื่องเล่นที่เต็มไปด้วยสีสันฉูดฉาดหายไปอย่างไร้ร่องรอย มันเกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว ไม่รู้เหตุผล ไม่มีที่มาที่ไป ถึงตอนนี้เราบอกไม่ได้ว่าเรารู้สึกกับเขาคนนั้นยังไงกันแน่ เรายอมรับว่าเรารู้สึกดีๆ กับเขาตลอดเวลาที่ผ่านมา เราอยากคุยกับเขา ไม่ใช่เพราะเราไม่มีใครให้คุยด้วย แต่เราอยากคุยกับเขาเพราะเป็นเขา เราอาจชอบเขา แต่เราก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่ความรักแน่นอน
ที่สำคัญเรื่องนี้ให้ข้อคิดกับเราอย่างหนึ่งได้ดีว่า อยากทำอะไร อยากบอกอะไร อยากถามอะไรใคร ก็ให้รีบทำก่อนที่จะไม่มีคนๆ นั้นให้ถาม ให้บอก ให้พูดคุยกันอีกแล้ว มันเหมือนยังมีอีกหลายคำถามที่ยังติดค้างอยู่ในใจ คำถามที่เรารู้ดีว่าจะไม่มีวันหาคำตอบเจอแน่นอน
คุณคิดอย่างไรคะ
A เขาคงไม่คิดอะไรกับเธอจริงจัง แค่หวังจะมีอะไรด้วยB เขาอาจน้อยใจคิดว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่รักเขาจริง