เวลาขับรถ หลายคนอาจโฟกัสไปที่การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องหรือการตรวจเช็กเบรก แต่กลับลืมไปว่า “ยางรถยนต์” คือด่านแรกที่สัมผัสกับพื้นถนนโดยตรง และมีผลต่อความปลอดภัยมากที่สุด ยางที่เสื่อมสภาพอาจทำให้รถเกาะถนนไม่ดี เบรกยาวขึ้น หรือเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุโดยไม่รู้ตัว คำถามคือ เราจะรู้ได้ยังว่ายางของเรายังปลอดภัย หรือถึงเวลาเปลี่ยนใหม่แล้ว? ก่อนจะไปดูว่าเปลี่ยนยางรถยนต์ที่ไหนดี วันนี้เราจะพาไปสังเกตจุดง่ายๆ ที่เราสามารถตรวจเองได้กันก่อนที่จะสายเกินไป!
ดอกยางสึกจนตื้น
ดอกยางสึกจนตื้นหมายความว่าร่องดอกยางที่เดิมมีความลึกพอสมควรลดลงจนใกล้จะเรียบกับสะพานยาง ซึ่งเป็นส่วนที่ยื่นขึ้นมาที่ก้นร่องดอกยาง ทำให้ประสิทธิภาพในการรีดน้ำลดลงมาก โดยเฉพาะเวลาที่ถนนเปียก การยึดเกาะถนนจึงมีประสิทธิภาพลดลง เสี่ยงต่อการเสียการควบคุมรถและเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายขึ้น
เมื่อดอกยางเหลือตื้นจนใกล้หรือเท่ากับระดับตัวบ่งชี้ความสึก หลายครั้งสามารถตรวจสอบได้ง่ายๆ ด้วยเหรียญบาทโดยการสอดเหรียญลงไปในร่อง ถ้าสอดลึกไม่เกินครึ่งเหรียญก็คือสัญญาณว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนยางใหม่แล้ว
ยางมีรอยบวม แตก หรือร้าว
ยางที่มีรอยบวม แตก หรือร้าว เป็นสัญญาณชัดเจนว่าโครงสร้างภายในยางกำลังเสียหายรุนแรง รอยบวมเกิดจากชั้นโครงสร้างภายในยางฉีกขาดและสูญเสียความแข็งแรง ทำให้ยางมีลักษณะโป่งนูนขึ้นมาบริเวณแก้มยางหรือหน้ายาง ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนที่แฝงไปด้วยอันตราย เพราะอาจทำให้ยางแตกหรือระเบิดได้หากยังใช้งานต่อ
สาเหตุที่ทำให้ยางบวมแตกหรือร้าวส่วนใหญ่มาจากการกระแทกอย่างแรง เช่น ขับรถตกหลุม ขึ้นลูกระนาดด้วยความเร็ว หรือชนขอบฟุตบาท นอกจากนี้ การซ่อมแซมยางที่ไม่ถูกวิธีก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ยางเกิดปัญหานี้ได้ การใช้ยางในสภาพนี้อาจเสี่ยงสูญเสียการควบคุมรถ ทำให้เกิดเหตุการณ์อันตรายบนท้องถนนได้
ยางหมดอายุการใช้งาน
ยางหมดอายุการใช้งานคือสภาพที่ยางรถยนต์เสื่อมสภาพตามกาลเวลาและการใช้งาน แม้ว่ายางจะมีดอกยางที่ยังไม่สึกมาก แต่ยางที่เก่าก็เสี่ยงต่อการแตกร้าวหรือเสียความยืดหยุ่นได้ การใช้ยางที่หมดอายุเสี่ยงต่อการสูญเสียประสิทธิภาพยึดเกาะถนน และอาจทำให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น ยางแตกหรือระเบิดขณะขับขี่
การตรวจสอบอายุยางทำได้โดยดูรหัสวันที่ผลิตที่อยู่บนแก้มยางซึ่งเป็นตัวเลข 4 หลักในรูปแบบ WWYY เช่น 0619 คือยางเส้นนี้ผลิตในสัปดาห์ที่ 6 ของปี 2019 โดยทั่วไปแล้ว ยางรถมีอายุการใช้งานประมาณ 4 – 5 ปีนับจากวันติดตั้ง แม้จะใช้งานไม่ครบระยะทางที่กำหนดก็ตาม สารประกอบในยางจะเสื่อมสภาพตามเวลาแม้เก็บรักษาดีแค่ไหน จึงควรเปลี่ยนยางเมื่ออายุเกิน 5 ปีเพื่อความปลอดภัย
การขับขี่ผิดปกติ
การขับขี่ผิดปกติที่เกิดขึ้นเมื่อใช้ยางหมดอายุ มักเกี่ยวข้องกับความเสื่อมสภาพของเนื้อยางและโครงสร้างภายในที่แข็งกระด้างและบอบบางลง ส่งผลให้การยึดเกาะถนนลดลง ทำให้รถเกิดอาการลื่นไถลง่าย โดยเฉพาะในถนนเปียกหรือถนนลาดชัน การเบรกก็ไม่เป็นไปตามปกติ ระยะเบรกจะยาวขึ้นจนเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ
นอกจากนี้ อาการพวงมาลัยหนักหรือมีแรงต้านขณะบังคับเลี้ยวผิดปกติ รวมถึงอาจรู้สึกว่าพวงมาลัยหลวมเกินไปหรือสั่นขณะขับขี่ ก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บอกถึงสภาพยางที่เริ่มเสื่อม ความผิดปกติที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่ส่งผลต่อความปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังทำให้น้ำมันเชื้อเพลิงหมดเร็วขึ้น เนื่องจากยางเก่าทำให้แรงเสียดทานเพิ่มและเครื่องยนต์ต้องทำงานหนักมากขึ้นด้วย
วิ่งเกินระยะที่กำหนด
การวิ่งใช้ยางเกินระยะทางที่กำหนด เช่น มากกว่า 50,000 กิโลเมตร หรือมากกว่า 5 ปี แม้ดอกยางจะยังดูดีอยู่ อาจทำให้ยางเสื่อมสภาพและหมดประสิทธิภาพได้ เพราะสารประกอบในยางจะเริ่มเสื่อมลงตามกาลเวลา ส่งผลให้ยางแข็งและยึดเกาะถนนได้น้อยลง การใช้ยางในระยะทางเกินกำหนดนี้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เช่น รถลื่นไถล ระบบเบรกทำงานไม่เต็มที่ หรือยางระเบิดกลางทาง รวมถึงอาจทำให้ช่วงล่างของรถเสียสมดุล เพราะยางสึกหรอไม่เท่ากันด้วย
ได้เห็นกันไปแล้วว่า ยางรถยนต์คือสิ่งเล็กๆ แต่มีผลใหญ่ต่อความปลอดภัย หากเริ่มมีสัญญาณสึก บวม แตก หรือใช้งานมานานเกิน 4 – 5 ปี ก็ถึงเวลาที่ต้องหาแล้วว่าจะ “เปลี่ยนยางรถยนต์ที่ไหนดี” ซึ่งการเลือกศูนย์ที่มีบริการครบวงจรและไว้ใจได้ จะช่วยให้เรามั่นใจทุกครั้งที่ขับรถ หากกำลังมองหาตัวเลือกคุณภาพ ลองแวะดูที่ Autobacs ศูนย์บริการรถยนต์ที่พร้อมดูแลครบจบในที่เดียว!